Prossima Fermata: Horse Trekking Mareo

ไม่ ฉันขี่ม้าไม่เป็น แต่ฉันกำลังจะเข้าไปอยู่ในฟาร์มม้ากลางอุทยานธรรมชาติฟาเนส (Fanes Natural Park) เพราะตอนที่เขียนจดหมายเข้าไปสอบถาม เห็น...

ไม่ ฉันขี่ม้าไม่เป็น แต่ฉันกำลังจะเข้าไปอยู่ในฟาร์มม้ากลางอุทยานธรรมชาติฟาเนส (Fanes Natural Park)

เพราะตอนที่เขียนจดหมายเข้าไปสอบถาม เห็นว่าช่วงที่ฉันวางแผนจะไป มีเทศกาลดนตรีพื้นบ้านพอดี แถมยังเห็นว่าธรรมชาติแถวนั้นสวยงามมาก สิ่งเหล่านี้เองคือแรงดึงดูดที่ทำให้ฉันตัดสินใจมาที่นี่

ม้าก็ด้วยแหละ นิดนึง อยากเรียนขี่ม้ามาตั้งแต่เด็กๆ แต่ไม่มีโอกาสได้เรียนไง


ไม่มีใครจากที่ฟาร์มตอบอีเมล์ฉันมาสองฉบับแล้ว แต่ฉันก็ยังตัดสินใจจะเข้าไปที่นี่ ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่าต้องไปตรงไหน และที่นอนเป็นยังไง โชคดีที่ระหว่างทางเจอฮิปปี้กลุ่มหนึ่งที่มาเทศกาลนี้เกือบทุกปี และรู้จักกับฟาเบียน (Fabian) เจ้าของฟาร์มม้าแห่งนี้อีกด้วย

และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการพบปะกับฮิปปี้สุดโต่งตลอดสัปดาห์นี้ของฉันนั่นเอง

หลังจาการเดินทางอันยาวนานกว่าห้าชั่วโมง ฉันก็มาถึงฟาร์มม้าซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 2 กิโลเมตร โนกา (Noga) วูฟเฟอร์สาววัย 17 ปีจากอิสราเอลเป็นคนพาฉันไปที่ห้องพัก—ห้องใต้หลังคาของคอกม้าที่มีฟูกเดี่ยววางเรียงกันหกอัน บรรยากาศบ้านนอกสไตล์คอกม้าสุดๆ

แต่วิวจากห้องนอนนี่ก็กินขาดเลยจริงๆ


ที่ฟาร์มม้าไม่มีไวไฟ ไม่มีที่อาบน้ำ ไม่มีห้องครัว อยากทำกับข้าวคือต้องก่อไฟ ใช้เตาฟืนในกระโจมอินเดียนแดง (tipi) โชคดี (มากๆ) ที่ครอบครัวของฟาเบียนเป็นเจ้าของโรงแรมหรูสี่ดาวในเมือง เราเลยเข้าเมืองไปกินอาหารที่ครัวในโรงแรมวันละสองมื้อ พร้อมอาบน้ำ แปรงฟัน และใช้อินเตอร์เน็ตไปด้วยเลย

อาหารแต่ละมื้อนี่คืออร่อยมาก แม้จะมีแต่พวกพาสต้า ราวิโอลี่ และลาซาญญ่า แต่อาหารระดับโรงแรมร้อนๆ รสชาติกลมกล่อม มีให้เติมไม่อั้น นี่มันสวรรค์ชัดๆ

ที่สวรรค์กว่านั้นคืออยู่ฟาร์มนี่แทบไม่ต้องทำงาน



ญาน (Yan) วูฟเฟอร์หนุ่มจากอิสราเอลอีกคนบอกว่า ก่อนหน้านี้พวกเขาทำงานหนักมาก ตั้งแต่เช้า คอยให้อาหารม้า จนเย็น และทำเกือบทุกวันไม่มีวันหยุด จะมาถึงช่วงแทศกาลเนี่ยแหละ ที่จะเป็นวันหยุดจริงๆ ของพวกเขา เพราะที่ฟาร์มงดรับนั่งท่องเที่ยวที่มาเช่าม้า หรือเรียนขี่ม้า แปลงสนามหญ้าด้านหน้าให้กลายเป็นงานกลางเต้นท์และแคมป์ไฟสำหรับเทศกาล ตอนที่ฉันไปถึงก็มีช่วยเตรียมงานบ้างเล็กน้อย ยกหินประมาณสามก้อน และเพ้นท์ป้ายนิดหน่อย


นอกนั้นออกไปเดิน ขึ้นเขาเข้าป่าตลอดเวลา คือตื่นเช้ามา ออกไปเดิน กลับลงมากินข้าวที่โรงแรม ตอนบ่ายนอนพักผ่อนนิดหน่อยแล้วก็ไปนั่งเล่นนอนเล่น ฟังดนตรีสดในเทศกาล ก่อนที่จะออกไปหาจุดถ่ายประอาทิตย์ตก แล้วกลับลงมากินข้าวที่โรงแรม

มีชีวิตดีอย่างนี้ตลอดสามสี่วันในช่วงเทศกาล

แถมยังโชคดีสองต่อ ที่ฟาเบียนไปกิ๊กกับวูฟเฟอร์สายรุ้งสุดฮิปปี้จาก Rainbow Gathering (ที่มาถึงฟาร์มนี้ก่อนฉันแค่วันสองวัน) ก่อนที่สาวน้อยชาวบราซิลจะออกเดินทางต่อไปยังสวิสเซอร์แลนด์กับเพื่อนๆ รุ้งกินน้ำของเธอ ฟาเบียนตัดสินใจที่จะพาเธอคือไปชมพระอาทิตย์ตกบนเขาด้วยกัน

แต่โนอา (Noa) นั้นรักเพื่อนมาก ไปกันสองต่อสองไม่เอา ไปกันให้หมดทั้งแก้งค์เนี่ยแหละ


สุดท้ายแล้ว พวกเราทั้งหมด 13 คนก็อัดกันเข้าไปในรถ 4W คันเดียว ที่ฟาเบียนขับไต่เขาเข้าไปกลางอุทยานแห่งชาติ Fanes กว่าครึ่งชั่วโมง ที่จะเดินเข้านี่ต้องมีอย่างน้อยสามสี่ชั่วโมง ถ้าจะเดินเข้ามาดูพระอาทิตย์ตกนี่ไม่ต้องคิดเลย

ต้องขอบคุณโนอาเลยนะเนี่ย

พวกเราเขาไปอยู่ท่ามกลางหุบเขาอันกว้างใหญ๋ไร้ผู้คน ขอบฟ้าหลังยอดเขาเป็นสีชมพูอ่อนๆ

ไม่มีใครพูดอะไรมาก ทุกคนนั่งซึมซับความงดงามของธรรมชาติตรงหน้าเงียบๆ

…แล้วลงมากินพิซซ่าเป็นอาหารเย็นกันคนละถาด นี่แหละหนาชีวิตในอิตาลี


อยู่ฟาร์มนี้ชีวิตสบายๆ อาหารอร่อย ทางเดิน trekking มากมาย แถมมีเพื่อนวูฟเฟอร์ที่ดี คุยกันถูกคอ อย่างญาน ที่เล่าเรื่องการใช้ชีวิตในฮาร์ดุฟ (Harduf) ซึ่งเป็นคิบบุทซ์ (kibbutz) หรือชุมชนสไตล์ Waldorf จนฉันอยากไปเที่ยวอิสราเอล นอกจากนี้ยังได้เรียนขี่ม้าคอร์สสั้นๆ กับฟาเบียนอีกต่างหาก

ฉันรู้ว่าคงจะไม่ได้โชคดีแบบนี้ไปตลอดทั้งทริป แต่พอมีโอกาส ได้รับน้ำใจที่คนอื่นหยิบยื่นมาให้ (และอาหารอร่อยๆ ระดับโรงแรม) ก็ต้องขอคว้าเอาไว้ก่อนละกัน


You Might Also Like

0 comments

Flickr Images